เมื่อเอ่ยถึง พ่อบุญเป็ง จันต๊ะภา ท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะสงสัยว่า เขาคือใคร แต่ก็มีอีกหลายท่านที่รู้จักพ่อบุญเป็งเป็นอย่างดี เพราะบุรุษผู้นี้ คือชายร่างเล็กผู้กล้าหาญ ขอลูกชายพ่อเลี่ยมมาเป็นดอง กลางห้องประชุม ในการสัมมนาเกษตรกรอาสา เพราะเหตุผลที่ว่า ลูกชายพ่อเลี่ยมพูดถึงการอดออมและประหยัดได้กินใจพ่อบุญเป็งเป็นหนักหนา
>>> พ่อบุญเป็ง เป็นใคร และมาจากไหน
ผู้เขียนได้มีเวลา จึงได้พูดคุยกับพ่อบุญเป็งถึงที่มาที่ไปของการเป็นครูบัญชีอาสา และการบันทึกบัญชี พ่อบุญเป็งบอกว่า เมื่อก่อนได้เริ่มบันทึกบัญชีมานานโดยบันทึกในสมุดทั่วไป เพราะต้องการอยากทราบรายได้ รายจ่ายในแต่ละวัน และต้องการรู้ผลกำไรขาดทุนจากการประกอบอาชีพ โดยเริ่มแรกได้บันทึกรายได้และต้นทุนจากการค้าขายเนื่องจากได้เปิดร้านขายของชำ ต่อมาได้เห็นประโยชน์จากการบันทึกบัญชีจึงได้ลดต้นทุน ค่าใช้จ่ายของอาชีพอื่น ๆ โดยได้แยกเล่มจดบันทึกแยกแต่ละอาชีพหลัก ๆ ให้เห็นเด่นชัด ต่อมาเมื่อพระเอกขี่ม้าขาวเข้ามาช่วย คือ สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์เชียงราย ได้มาทำการอบรมเรื่องของการบันทึกบัญชี รับ จ่าย เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2549 จึงได้เริ่มจดตามแบบของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และได้นำข้อมูลที่ได้จากการจดบันทึกมาวิเคราะห์เพื่อเพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และจากการจดบันทึกบัญชีและนำมาวิเคราะห์แล้วพ่อบุญเป็งพบว่า อาชีพเลี้ยงปลาให้รายได้และทำกำไรได้ดีที่สุด จึงได้เพิ่มขยายพื้นที่เลี้ยงปลาเพิ่มขึ้น จากนั้นจึงได้นำมาทดลองเลี้ยงปลาในแปลงนาข้าว ปรากฏว่าสามารถช่วยลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยได้อีก และยังไม่ต้องใช้ยาปราบศัตรูพืช เนื่องจากปลากินพืชแล้ว ยังถ่ายมูลเพื่อเป็นปุ๋ยแก่ต้นข้าว อีกทั้งปลายังทำให้ดินกลายเป็นโคลนทำให้วัชพืชไม่ขึ้น
พ่อบุญเป็งได้มีการขยายเครือข่ายไปยังคนในชุมชนอีกมากมาย โดยในวันนั้น ได้พาท่านอธิบดีไปเยี่ยมเครือข่ายของพ่อบุญเป็ง อีก 3 บ้าน บ้านแรกได้แก่บ้านของนายชินกร ไกรถิ่น เมื่อคณะมาถึงหน้าบ้าน ได้รับเสียงต้อนรับจากสุนัข อย่างดี เจ้าของบ้านคือคุณชินกร ต้องรีบนำไปผูกเชือกไว้เพราะกลัวว่า น่องขาว ๆ ของพวกเราอาจจะต้องเป็นเหยื่อเขี้ยวเล็บของสุนัขก็ได้ เมื่อผูกเชือกเสร็จพวกเราก็ไม่กลัว จึงได้ทำการเดินดูรอบบริเวณบ้าน ปรากฏว่าลิ้นจี่กำลังออกช่อสีแดง ชวนให้พวกเราแอบเด็ดจากต้น คนละเม็ด 2 เม็ด ทั้ง ๆ ที่เจ้าของบ้านมีใส่จานไว้ให้ทานกัน แต่มันก็ไม่สนุกเหมือนกับการแอบหยิบจากต้น (เหมือนแมวขโมย มันตื่นเต้นดีออกค่ะ ของอะไรได้มาง่าย ๆ ก็ย่อมไม่ตื่นเต้น อะไรได้มายากก็จะรู้คุณค่าจริงไหมค่ะ) หลังจากนั้นเราจึงได้เดินทางไปสมทบกับท่านอธิบดี ซึ่งได้สัมภาษณ์ และพูดคุยกับคุณชินกร ได้เล่าให้ฟังว่า ในอดีตมีอาชีพทำนาเป็นหลัก ประกอบกับการทำไร่ข้าวโพด และก็พบว่าอาชีพทำนาไม่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้ จึงได้เริ่มทำโรงสีข้าว และเลี้ยงหมู เพราะคิดได้ว่าถ้าหากว่าสีข้าวยังมีแกลบ รำ เพื่อใช้เป็นอาหารหมูได้ พร้อมกันนั้นได้มีการจดบันทึกรายรับ รายจ่ายในครัวเรือนไว้ และได้นำมาวิเคราะห์พบว่าการทำโรงสีข้าวทำให้มีรายได้สม่ำเสมอเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับอาชีพทำนา ซึ่งสามารถขายผลิตผลได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น แต่ต้องเสียเวลา และแรงงานมาก ทำให้ไม่คุ้มต้นทุน ที่สูญเสีย หลังจากนั้น ทางคณะจึงได้เดินทางไปยังบ้านของ นายประดิษฐ์ พรหมมินทร์ทางเข้าสวนของเขา เป็นดินแดง พวกเราในรถได้ยินเสียงร้องของหัวหน้าสุนีย์ เสียงหลง พวกเราก็สงสัยว่ามีอะไรกัน ที่ไหนได้ หัวหน้าสุนีย์ กลัวรถสำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์เชียงราย ที่นำหน้ารถคณะจะไปทับต้นข้าวโพดที่เกษตรกรได้ลงไว้ พวกเราโล่งอกกันไปตาม ๆ กันเมื่อรถคันหน้าได้เลี้ยวก่อนถึงต้นข้าวโพด เมื่อนั้นพวกเราอาจจะต้องเป็นเกษตรกร มาลงมือปลูกข้าวโพดเพื่อทดแทนที่ถูกทับก็ได้ เมื่อลงจากรถ ได้เห็นการปลูกพืชหลายอย่างจากสวนของนายประดิษฐ์ ในสวนประกอบด้วยต้น มะม่วง ต้นถั่วฝักยาว ต้นแก้วมังกรที่ปลูกเรียงราย ต้นพริกขี้หนูที่เม็ดงาม ๆ มีบ่อปลา บรรยากาศถึงแม้ว่าจะร้อน แต่ท่านอธิบดียังไม่ถอย เราเป็นลูกน้องเราจะแอบไปหลบได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ใจนั้นอยากจะหลบไอร้อนมาก เหงื่อทุกคนเริ่มท่วมตัว แต่เราจะอดทนค่ะ พี่น้องเกษตรกรยังทนหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดินทำนาให้เรากินได้ แล้วเหตุไฉนเรื่องแค่นี้เราจะทนไม่ได้ (ชิว ชิว ใครอยากรู้ศัพท์นี้ต้องไปหาในพจนานุกรมฉบับใหม่ล่าสุด อีก 3 4 เดือนถึงจะออกน๊ะคะ) ท่านอธิบดีได้คุยกับคุณประดิษฐ์ และได้ข้อมูลมาว่า แต่ก่อนเคยประกอบอาชีพทำนา และทำไร่ข้าวโพด แต่มีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายในครอบครัว เพราะว่าข้าวและข้าวโพดมีราคาถูก และต้นทุนสูง และมีรายได้เฉพาะฤดูกาลเท่านั้น
จึงคิดที่จะทำอาชีพอื่นเพิ่มเติม โดยทำไร่นาแบบสวนผสม หลังจากนั้น ได้มีการจดบันทึกบัญชี ทำให้รู้ว่าอาชีพไหนที่ทำแล้วมีกำไร อาชีพไหนที่ทำแล้วขาดทุน จึงตัดสินใจว่าต้องจัดสรรพื้นที่ที่มีอยู่ว่าจะทำอะไรมาก อะไรน้อย เช่น อาชีพทำนารู้ว่ามีต้นทุนสูง แต่ก็ต้องทำเพราะอย่างน้อยก็ทำไว้กินเองเลยแบ่งพื้นที่ทำนาไม่มาก หันมาใช้พื้นที่ที่มีอยู่มาขุดบ่อเลี้ยงปลา ปลูกแก้วมังกร และพืชผักสวนครัวขึ้นมาทดแทน ปัจจุบัน พื้นที่ที่ทำอยู่ได้ประกอบอาชีพทำนา ทำไร่ข้าวโพด เลี่ยงปลา ปลูกแก้วมังกร พืชผักสวนครัว ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และมีเงินหมุนเวียนใช้ตลอดปี หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จ แดดก็ร้อน แต่ภารกิจของพวกเราก็ยังไม่เสร็จสิ้น ยังเหลือเครือข่ายของลุงบุญเป็งบ้านสุดท้ายที่ท่านอธิบดีจะต้องไปพูดคุยด้วย คือคุณจันทร์เที่ยง แก้วกรอง ซึ่งอยู่ในสวน ท่านอธิบดีได้พาพวกเราเดินในสวน ซึ่งสวนนี้เป็นสวนมะไฟ มีมะไฟออกช่อเหลืองอร่าม น่ากินจริง ๆ (คงไม่ต้องสงสัยน๊ะคะว่าทำไมผู้เขียนถึงได้สมบูรณ์เพราะไปที่ไหนก็น่ากินไปเสียหมด) ท่านอธิบดีได้คุยกับคุณจันทร์เที่ยง พอทราบว่า ในอดีตประกอบอาชีพทำนาหลายสิบไร่ แต่ก็ได้กำไรน้อยไม่พอกับค่าใช้จ่ายที่มีอยู่ จึงมีแนวคิดที่จะหาอาชีพเสริมโดยแบ่งที่นาให้คนอื่นเช่าและเก็บไว้ทำเองบางส่วน แล้วเริ่มหันมาเลี้ยงปลา ทำสวนผลไม้ สวนพืชผักสวนครัว และอาชีพช่างเสริมสวย พร้อมทั้งได้จดบันทึกบัญชีรายรับ รายจ่าย ในครัวเรือนด้วย เพื่อต้องการรู้ว่าอาชีพไหนทำแล้วมีกำไร หรืออาชีพไหนทำแล้วขาดทุน จากการจดบันทึกบัญชีทำให้คุณจันทร์เที่ยงรู้ว่าอาชีพช่างเสริมสวยเป็นอาชีพที่รายได้ดีที่สุด แต่ก็ไม่มีลูกค้าสม่ำเสมอ จึงหันมาทำไร่ทำนาสวนผสมเพิ่มเติม เพราะอย่างน้อยก็เป็นการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายเพราะสามารถที่จะปลูกพืชผักและเลี้ยงปลากินเอง หลังจากที่สัมภาษณ์เสร็จ ภารกิจการติดตามท่านอธิบดีก็เสร็จสิ้น พวกเราทีมงานถ่ายทำ และคณะท่านอธิบดี ก็เริ่มท้องร้องกันเพราะหิวจริง ๆ หัวหน้าสุนีย์ พาพวกเราไปทานอาหารบนเขาซึ่งอยู่เลยบ้านพ่อบุญเป็งไปนิดหน่อย ประมาณ ครึ่งกิโล บรรยากาศดีมาก ๆ เลย เพราะมีแม่น้ำ เหลือเชื่อว่าจะมีแม่น้ำบนภูเขา วันนั้นเด็กเสริฟมีมากเป็นพิเศษเพราะได้มาจาก สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์เชียงราย เพราะช่วงเช้าได้มาสอนบัญชีให้กับเกษตรกรที่บ้านพ่อบุญเป็งแล้ว ช่วงบ่ายก็ได้มาช่วยเสริฟอาหาร พวกเราทานอาหารกันอย่างมีความสุข พร้อมด้วยพ่อบุญเป็งที่ดูจะมีความสุขมากกว่าทุกคน เพราะท่านอธิบดีเรืองชัย ของเราได้ให้ความเป็นกันเอง สนิทสนม และพูดคุยด้วยความรู้สึกที่เป็นมิตร ระหว่างทางอาหารไป พ่อบุญเป็งได้เล่าให้ฟังถึงเรื่องครอบครัว ลูกทุกคนมีความกตัญญู ไม่ทำความเดือดร้อนมาให้ ดังนั้นเมื่อครอบครัวมีสุขแล้ว จึงอยากจะแบ่งปันความสุขที่ตัวเองได้รับให้กับเพื่อนบ้าน ให้กับชุมชน พวกเราได้ฟังพ่อบุญเป็งแล้ว ทำให้คิดว่าพวกเราได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายดีกันหรือยัง เกษตรกรที่อยู่ไกล เขายังมีความคิดที่จะเสียสละเพื่อชุมชน แล้วท่านหล่ะเคยคิดที่จะทำอะไรเพื่อประเทศชาติบ้าง สำหรับวันนี้ก็คงพอก่อนเพราะว่าเมื่อยมือในการพิมพ์ ไว้โอกาสหน้าถ้าได้ติดตามท่านอธิบดีไปตรวจเยี่ยมเกษตรกรที่ไหนอีก และมีมุขเด็ด ๆ อะไรก็จะมาเล่าให้ท่านอ่านอีกน๊ะคะ สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ