โดย.....เพยาว์ กิมปฐม
หากพิจารณาแยกตามโซนพื้นที่ พบว่า ครัวเรือนของสหกรณ์ในภาคกลางมีเงินออมมากสุด 8.1 แสนล้านบาท(63.18%) รองลงมา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1.9 แสนล้านบาท (14.69%) ภาคเหนือ 1.6 แสนล้านบาท (12.87%) และ ภาคใต้ 1.2 แสนล้านบาท (9.26%) ตามลำดับ โดยครัวเรือนภาคกลางเฉลี่ยออมเงินตกเฉลี่ย 17,045.33 บาทต่อคนต่อเดือน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4,339.59 บาทต่อคนต่อเดือน ภาคเหนือ 5,737.18 บาทต่อคนต่อเดือน และภาคใต้ 7,540.09 บาทต่อคนต่อเดือน แลหลังทิศทางแนวโน้มการออมครัวเรือนสหกรณ์ช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา (พ.ศ.2552-2556) เป็นบวกเพิ่มขึ้นทุกปี จาก 8.1 แสนล้านบาทในปี 2552 เป็น 1.2 ล้านล้านบาท ในปี 2556 หากดูอัตราการขยายตัวมีค่าเฉลี่ยในช่วงระหว่างปี2552-2556 ที่ประมาณร้อยละ 12.34 ต่อปี โดยค่าเฉลี่ยการออมของครัวเรือนสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยสูงสุดประมาณร้อยละ 23.39 ต่อปี ขณะที่ครัวเรือนสหกรณ์ร้านค้ามีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยต่ำสุดที่ร้อยละ 4.53 ต่อปี ส่วนหนึ่งน่าที่จะสะท้อนถึงการที่ผู้บริโภคมีความศรัทธาและเชื่อมั่นในระบบสหกรณ์มากขึ้นกว่าในอดีต ทำให้เป็นไปได้ว่า สัดส่วนของการพึ่งพิงไว้ใจออมเงินต่อสถาบันสหกรณ์เพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งหากยืนยันได้จริงตามข้อมูลสำรวจ ก็น่าจะถือได้ว่า มีการพัฒนาระบบการเงินและเศรษฐกิจไทยได้ส่วนหนึ่ง
สำหรับแนวโน้มข้างหน้า มองว่า เงินออมครัวเรือนภาคสหกรณ์จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5-7 % โดยสัดส่วนเงินออมครัวเรือนภาคสหกรณ์ไทยต่อจีดีพีของไทย อาจจะยังคงขยับขึ้นไปอีกในช่วงหนึ่งถึงสองปีข้างหน้านี้ แต่คงจะไม่เพิ่มในอัตราที่เร็วมากนัก นอกจากนี้ ประเด็นที่ต้องติดตาม คือ สัดส่วนภาระรายจ่ายในการชำระหนี้ต่อรายได้ของครัวเรือน คงจะเป็นผลจากหลายปัจจัยทั้ง ราคาพืชผล น้ำมัน ค่าครองชีพที่สูงขึ้น มีหลายด้านหลายมุมทั้งในแง่บวกและแง่ที่ควรเฝ้าติดตามสถานการณ์กันต่อไป รวมถึงศรัทธาและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทุกฝ่ายต้องเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น รู้จักเก็บออม เพื่อการลงทุนในอนาคต และเพื่อป้องกันปัญหาก่อนเกิดวิกฤติ